Support
A-Goods
082-6992924 (ออม)
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest
ภาณุภณ
- Guest -

Post : 2014-07-25 13:21:14.0     Forum: สอบถาม  >  ขอข้อมูลธุรกิจการสั่งซื้อ SG 2000 ครับ

 ขอข้อมูล SG 2000

guest

Post : 2014-06-26 16:08:12.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  คำแนะนำในการใช้ว่านหางจระเข้ และสูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า

 

คำแนะนำในการใช้ว่านหางจระเข้ และสูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า

 

คำแนะนำในการใช้ว่านหางจระเข้

 

  • การเลือกใช้ใบจากต้นว่านหางจระเข้ควรเลือกต้นที่มีอายุมากกว่า 1 ขึ้นไป และให้เลือกใบล่างสุดเพราะจะอวบโตและมีวุ้นมากกว่าใบที่อยู่ด้านบน
  • เนื่องจากวุ้นของว่านหางจระเข้ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรปอกโดยใช้เทคนิคปลอดเชื้อ Aseptic technique เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • การนำวุ้นมาใช้เพื่อรักษาแผลจำเป็นต้องล้างน้ำให้สะอาด เพื่อป้องกันน้ำยางจากเปลือกที่มีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้
  • ว่านหางจระเข้จะมีคุณภาพสูงสุด เมื่อตัดมาแล้วใช้ทันที และจะมีสรรพคุณทางยาที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
  • วุ้นของว่านหางจระเข้จะไม่คงตัวเท่าไหร่นัก ดังนั้นถ้าปอกแล้วจะเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น
  • หากนำว่านหางจระเข้ไปแช่ในตู้เย็นจนเย็นก่อนการนำมาใช้ จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบายมากยิ่งขึ้น
  • การใช้ภายในเพื่อใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ไม่ควรใช้กับหญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงที่กำลังจะมีประจำเดือน รวมไปถึงผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารได้
  • การใช้วุ้นจากใบเพื่อใช้เป็นยาทาภายนอก สำหรับบางรายแล้วอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ (จากงานวิจัยพบว่าไม่ถึง 1%) โดยลักษณะของอาการแพ้หลังจากปิดวุ้นลงบนผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดงบางๆ หรืออาจมีอาการเจ็บแสบด้วย โดยอาการจะแสดงหลังจากทาไปแล้วประมาณ 2-3 นาที ถ้าคุณมีอาการแพ้หลังการใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ก็ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด และเลิกใช้ทันที

 

       

 

สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า

  • สูตรบำรุงผิวหน้า กระชับรูขุมขน เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยการใช้ วุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อยโต๊ะ / น้ำแตงกวา 1-2 ช้อนโต๊ะ / ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมจนเข้ากันแล้วใช้พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  • สูตรลดสิว รักษารอยดำจากสิว ด้วยการใช้ วุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ / ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ / ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมจนเข้ากันใช้ทาบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก
  • สูตรลดความมัน แก้ปัญหาจุดด่างดำ ด้วยการใช้ วุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำมะนาว 1 ช้อนชา / น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา / ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมให้เข้ากันแล้วนำมาพอกบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก
  • สูตรผิวหน้ากระจ่างใส ด้วยการใช้ วุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ / นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ / ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมจนเข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก
  • สูตรเพิ่มความกระจ่างใส ลดความมัน ด้วยการใช้ วุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ / นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ / ขมิ้นผง 2 ช้อนชา นำมาผสมจนเข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก

  

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, www.health.howstuffworks.com

 

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม (ปรับปรุงครั้งล่าสุด วันที่ 3 พ.ค. 2014 เวลา 17:13 น.)

 

 

guest

Post : 2014-06-25 13:43:43.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ว่านหางจระเข้ สรรพคุณและประโยชน์ของว่านหางจระเข้ 40 ข้อ

 

 

ว่านหางจระเข้ สรรพคุณและประโยชน์ของว่านหางจระเข้ 40 ข้อ

 

เมื่อพูดถึง สมุนไพรว่านหางจระเข้ เรามักจะนึกถึงสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลสด ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ใช้ทาเพื่อป้องรอยแผลเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งสารที่สามารถใช้รักษาแผลดังกล่าวได้เป็นสาร Glycoprotein ที่มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory ที่พบได้ในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้ ซึ่งนอกจากสรรพคุณดังกล่าวแล้วยังมีประโยชน์ของว่านหางจระเข้อื่นๆอีกมากมาย ไปดูกันเลย

 

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

 

  1. ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้น หรือจะทำเป็นน้ำปั่นว่านหางจระเข้มาดื่มก็ได้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันโรคเบาหวานได้
  2. ว่านหางจระเข้ สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการตัดใบสดของว่านหางจระเข้ แล้วทาปูนแดงด้านหนึ่ง แล้วเอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ (ใบ)
  3. วุ้นว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่างๆ
  4. สรรพคุณ ว่านหางจระเข้ช่วยแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ใบนำมาปอกเปลือกเอาแต่วุ้น นำมารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (เนื้อวุ้น)
  5. ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า ยาดำซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ (ยางในใบ)
  6. ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการกรีดเอายางจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจะได้ก้อนยาสีดำ (ยาดำ) แล้วตักมาใช้ประมาณช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย แล้วคนจนละลาย โดยผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชาก่อนนอน แต่ถ้าเป็นเด็กให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาก่อนนอน
  7. ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นหรือน้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ควรหมั่นทำเป็นประจำวันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย (เนื้อวุ่น)
  8. ช่วยแก้หนองใน (ราก,เหง้า)
  9. ช่วยแก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี (ราก,เหง้า)
  10. ทั้งต้นของว่านหางจระเข้ มีรสเย็น ใช้ดองกับสุรานำมาดื่มช่วยขับน้ำคาวปลาได้ (ทั้งต้น)
  11. ช่วยบรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้นครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้งเป็นประจำจะช่วยทำให้อาการปวดดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
  12. ใบว่านหางจระเข้มีรสเย็น นำมาตำผสมกับสุราใช้พอกรักษาฝีได้ (ใบ)
  13. ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอหรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้ (วุ้นจากใบ)
  14. ช่วยรักษาแผลถลอก และจากการถูกครูด (แผลพวกนี้จะเจ็บปวดมาก) ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้นำมาทาแผลเบาๆ ในวันแรกต้องทาบ่อยๆ จะช่วยในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น และทำให้ไม่เจ็บแผลมาก (วุ้นจากใบ)
  15. ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบางๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย (วุ้นจากใบ)
  16. ช่วยขจัดรอยแผลเป็น ทำให้แผลเป็นจางลง ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น (วุ้นจากใบ)
  17. ช่วยรักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต ด้วยการใช้วุ้นจากใบที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาปิดไว้บริเวณที่เป็นและหมั่นเปลี่ยนบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
  18. วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ด้วยการใช้วุ้นจากใบทาก่อนออกแดด หรือจะใช้ใบสดก็ได้ แต่ใบสดอาจทำให้ผิวหนังแห้ง เพราะใบมีฤทธิ์ฝาดสมาน ถ้าต้องการลดการทำให้ผิวแห้ง ก็อาจจะใช้ร่วมกับน้ำมันพืชหรืออาจเตรียมเป็นโลชั่นก็ได้ (วุ้นจากใบ)
  19. ช่วยรักษาอาการผิวหนังไม้จากแสงแดด หรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี โดยนำวุ้นของว่ายหางจระเข้มาทาผิวบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการอักเสบได้ แต่ถ้าไปนานๆระวังผิวแห้ง ควรผสมกับน้ำมันพืช เว้นแต่ว่าจะทำให้ผิวเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา (วุ้นจากใบ)
  20. วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อรักษาฝ้า (วุ้นจากใบ)
  21. ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวาง (โรคสะเก็ดเงิน) ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น (วุ้นจากใบ)

 

       

 

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้

  1. น้ำว่านหางจระเข้ สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยชะลอความแก่ชรา และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วย
  2. ว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมไปถึงกรดอะมิโน อีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุทองแดง ธาตุแมงกานีส ธาตุซีลีเนียม ธาตุโครเมียม วิตามินเอ วิตามินซี วิตามิอี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี6 วิตามินบี9 โคลีน และยังเป็นพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่มีวิตามินบี12 ด้วย
  3. ช่วยในการย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ช่วยในการดีท็อกซ์ล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบกระเพาะอาหาร และช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
  4. จากวรสารการแพทย์อังกฤษตีพิมพ์ในปี 2000 (British Medical Journal) ระบุว่าสารสกัดจากว่านหางจระเข้ สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และอาจจะมีความเป็นไปได้ว่ามันสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
  5. ช่วยป้องกันแก้อาการเมารถเมาเรือ ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้หรือน้ำว่านหางจระเข้เย็นๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
  6. การใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาเป็นประจำวันละ 2-4 8รั้ง จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
  7. ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ดูชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวแห้งกร้านตามหัวเข่า, ข้อศอก หรือส้นเท้าได้ เพียงแค่ใช้วุ้นจากใบว่านหางจระเข้แช่ในอ่างอาบน้ำ ในระหว่างอาบให้ใช้เนื้อวุ้นถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องการ หากทำเป็นประจำก็จะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณเนียนนุ่มชื่นชื้นและเต่งตึงได้
  8. ช่วยเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวหน้าและผิวกายชุ่มชื้น และป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย เพียงแค่ใช้วุ้นจากใบว่านหางจระเข้นำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้าหรือบริเวณผิวที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นสดใสและดูเต่งตึงขึ้น
  9. ว่านหางจระเข้รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของสิว ช่วยลดรอยดำจากสิว และช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่างหางจระเข้จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (ไม่แนะให้ใช้กับสิวอักเสบ เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย)
  10. ช่วยรักษาจุดด่างดำตามผิวหนัง อันเนื่องมาจากแสงแดดหรือจากอายุที่มากขึ้น ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดทาที่ผิววันละ 2 ครั้งหลังอาบน้ำ และต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล
  11. ช่วยป้องกันการเกิดฝ้า หากใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำก็จะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้เป็นอย่างดี (ไม่ใช่การรักษาแต่เป็นการป้องกัน)
  12. วุ้นจากใบสดใช้ชโลมบนเส้นผม จะช่วยทำให้เส้นผมสลวย ผมดกเป็นเงางาม ช่วยป้องกันและขจัดรังแค ช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี และยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะได้อีกด้วย
  13. ในฟิลิปปินส์ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ร่วมกับเนื้อในของเมล็ดสะบ้า ในการรักษาผมร่วง หรือหนังศีรษะล้าน
  14. ปัจจุบันได้มีการทดลองใช้วุ้นจากใบเพื่อรักษาคนไข้ที่เป็นแผลกดทับ (Bedsore)
  15. ประโยชน์ ว่านหางจระเข้ช่วยลบท้องลายหลังคลอด ด้วยการใช้วุ้นของว่านหางจระเข้มาทาบริเวณท้องเป็นประจำทั้งในขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด
  16. ช่วยแก้เส้นเลือดดำขอดบริเวณขา ด้วยการใช้วุ้นว่านหางจระเข้มาทาบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดเป็นประจำ
  17. สาร Aloctin A พบว่ามันสามารถช่วยรักษาโรคต่างๆได้หลายโรค เช่น โรคมะเร็ง ช่วยแก้อาการแพ้ รักษาโรคผิวหนัง เป็นต้น
  18. ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลายรูปแบบ ที่ผลิตมาจากว่านหางจระเข้ เช่น เครื่องสำอาง โลชั่น สบู่ แชมพู ครีมบำรุงผิว ครีมทาใต้ตา ครีมรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ครีมทาแผลสด แผลพุพอง เจลว่านหางจระเข้ เจลทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้า ฯลฯ
  19. นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารจำพวกของหวานได้อีกด้วย เช่น น้ำวุ้นลอยแก้ว วุ้นแช่อิ่ม นำมาปั่นทำเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เป็นต้น

 

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, www.health.howstuffworks.com

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม (ปรับปรุงครั้งล่าสุด วันที่ 3 พ.ค. 2014 เวลา 17:13 น.)

 

 

 

guest

Post : 2014-05-05 15:45:32.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  การดื่มน้ำที่ถูกต้อง สำคัญมากกับชีวิต

 

การดื่มน้ำที่ถูกต้อง สำคัญมากกับชีวิต

 

คำว่า ''ดื่มน้ำมากๆ'' ทำให้ความเข้าใจในเรื่องวิธีการดื่มน้ำคลาดเคลื่อนไป จากระบบการบริหารน้ำในร่างกายที่คล้อยตามธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติของร่างกายคนเรา ต้องการความเป็นด่างจากน้ำเข้าไปสมดุลกับความเป็นกรดที่เกิดจากการเผาผลาญในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะอธิบายได้ดังนี้

 

1.     ในร่างกายน้ำที่ใช้ไปแล้ว ซึ่งมีสภาพเป็นกรด

2.     ธรรมชาติของน้ำมีสภาพเป็นด่าง (น้ำกระด้าง)

3.     การดื่มครั้งเดียวจำนวนมากๆ ร่างกายรักษาน้ำได้เพียงจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เกินร่างกายก็ต้องระบายน้ำออกจากร่างกาย หากดื่มลักษณะนี้เป็นประจำ ร่างกายก็จะระบายน้ำจนเกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นค่อยจิบที่ละนิดดีกว่านะครับ

4.     การดื่มน้ำหลังอาหารเป็นจำนวนมาก หรือดื่มน้ำระหว่างอาหาร ที่เรียกว่า ''ข้าวคำน้ำคำ'' จะเป็นการ เจือจางน้ำย่อยที่มีสภาพเป็นกรด ด้วยสภาพด่างของน้ำ จึงเป็นการลดประสิทธิภาพในการย่อย อาหารที่กินเข้าไปจึงเน่าเสีย เกิดเป็นแก๊สพิษ ยิ่งถ้าคนที่ทานผลไม้หลังอาหารแทนที่จะทานก่อนอาหาร เนื้อสัตว์ที่ย่อยยากกว่าจะขวางผลไม้ที่ย่อยง่ายกว่าให้เน่าเสียอยู่นาน ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะเจ็บป่วยมากมาย

5.     ทุกครั้งที่ร่างกายระบายน้ำออกจากร่างกาย ทั้งไอน้ำที่ระเหยออกทางปาก เหงื่อที่ระบายออกตามผิวหนัง ปัสสาวะ และอุจจาระ รวมถึงสารคัดหลั่งต่างๆ ร่างกายจะสูญเสียสภาพด่าง ในรูปแร่ธาตุไปด้วยเสมอ จึงจำเป็นจะต้องดื่มน้ำ ซึ่งมีสภาพด่างชดเชยอย่างต่อเนื่องหรือทานอาหารที่เป็นด่างบ้าง

6.     ขณะที่เรานอนตอนกลางคืน ซึ่งใช้เวลานอน 6-8 ชั่วโมง ร่างกายจำเป็นต้องใช้ความเป็นด่างของน้ำในการรวบรวมกรดในร่างกาย เพื่อจะระบายออกในวันรุ่งขึ้น จึงจำเป็นจะต้องดื่มน้ำก่อนเข้านอน รวมทั้งเวลาก่อนเข้านอนตามนาฬิกาชีวิตเป็นช่วงเวลาที่ถุงน้ำดีทำงาน ถ้าดื่มน้ำน้อย น้ำดีจะข้นทำให้มีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากขึ้น และเป็นช่วงเวลาปรับสมดุลความร้อนครับ

7.     ระบบขับถ่ายจำเป็นต้องอาศัยน้ำในการลำเลียงมวลอุจจาระ จึงจำเป็นต้องดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอนแลควรดื่มจำนวนมากพอเพราะร่างกายขาดน้ำมาทั้งคืน น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำอุ่น

 

การดื่มน้ำให้สมดุลก็เป็นเรื่องง่ายๆ ดังนี้

1.     ดื่มน้ำเมื่อตื่นนอนช่วงหกโมงเช้า 1-3 แก้ว

2.     ดื่มน้ำอย่างมากที่สุดไม่เกินครึ่งแก้วหลังมื้ออาหาร

3.     ดื่มน้ำชั่วโมงละครึ่งแก้ว เว้นก่อนอาหาร1/2-1ชม.

4.     หากกินอาหารที่เป็นกรดสูง ให้ดื่มน้ำขิง หรือน้ำอุ่น เข้าไปช่วยย่อย

5.     ดื่มน้ำก่อนเข้านอนในช่วง 21:00 น.

6.     หลังปัสสาวะต้องดื่มน้ำครึ่งแก้ว เข้าไปชดเชยเสมอ 

 

ดื่มน้ำชั่วโมงละครึ่งแก้วให้เป็นนิสัย รักษาสมดุลสุขภาพได้ตลอดไป ดื่มน้ำน้อยทำให้กระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทเนื่องจากระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงกั้นกลาง ถ้าดื่มน้ำน้อยก็ขาดน้ำที่จะไปสร้างนำหล่อเลี้ยง กระดูกจึงมาใกล้กันมากขึ้น

 

ดื่มน้ำน้อยจะแก่เร็ว

เพราะร่างกายจะจัดสรรน้ำให้สมองเป็นอันดับแรก อันดับต่อมาคือปอด ต่อไปคือตับและไต เพื่อขับถ่ายของเสีย อวัยวะลำดับท้ายๆคือกล้ามเนื้อและกระดูก ส่วนที่อยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายคือผิวหนัง ด้วยเหตุนี้สัญญาณแห่งความแก่จึงปรากฎบนผิวก่อนเป็นอันดับแรก

 

ความเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆรวมทั้งมะเร็งมีสาเหตุมาจาก cell ในร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานาน ทำให้เลือดหนืดไหลเวียนไม่ดี จึงไม่สามารถสร้าง cell ใหม่แทน cell เก่าได้เต็มที่

 

น้ำที่กล่าวมาทั้งหมดหมายถึงน้ำเปล่าไม่ใส่สารปรุงแต่ง โดยเฉพาะรสหวาน หลีกเลี่ยงน้ำเย็นจัดหลังอาหารโดยเฉพาะอาหารมื้อหนักและอาหารมันๆ เพราะทำให้หัวใจวายได้ การดื่มน้ำเย็นจัดเหมือนแก้ร้อนใจได้ก็จริงแต่จะทำให้ร่างกายร้อนใน

 

ดื่มให้ถูกชนิดคือ น้ำใดที่ถูกกับร่างกายแต่ละคนดื่มแล้วร่างกายรู้สึกสบายดับกระหายได้ เช่นหมอดื่มน้ำอุ่นๆ 2-3 แก้วตอนตื่นนอน ก็ยังรู้สึกกระหาย ปากแห้ง พอผสมน้ำแร่เข้าไปด้วยรู้สึกปากหายแห้ง แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ คนเดียวกันเวลาเปลี่ยนไปก็ไม่เหมือนกัน พอหมอดื่มน้ำแร่ไปซักพัก บางครั้งมาดื่มน้ำเปล่ากลับดีกว่า ดังนั้นสังเกตุตัวเราเองนะครับ

 

คุณหมอชินยะบอกว่าการดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินไปมีผลทำให้เกิดโรคหลายชนิด เช่น

1.     ความดันสูงหรือหัวใจเต้นเร็ว เพราะเมื่อน้ำน้อย เลือดจะหนืด ไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายจึงพยายามให้เลือดไหลเวียนไปอวัยวะสำคัญให้พอด้วยการที่หัวใจทำงานหนักขึ้นคือเต้นเร็วขึ้น และส่งแรงดันมากขึ้น ความดันจึงสูงขึ้น

2.     เวียนศีรษะเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ

3.     ปวดขา เป็นตะคริวตอนดึก ก็เพราะกล้ามเนื้อยึดหยุ่นได้ไม่ดี เนื่องจากปริมาณน้ำในเลือดลดลง

4.     ภูมิแพ้ ถ้าดื่มน้ำมากขึ้นร่างกายจะหลั่งสารฮีสตามีนที่ทำให้เกิดภูมิแพ้น้อยลง

5.     มะเร็ง เพราะขาดน้ำที่จะใช้ขับสารพิษจากเซลล์ พิษจึงสะสมคั่งค้าง การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการกลับมาเป็นมะเร็ง

6.     ตาแห้ง โดยเฉพาะคนที่อยู่หน้าจอเป็นประจำ ปัญหาตาแห้งมักอยู่ที่ร่างกายขาดน้ำมากกว่าอยู่ที่ตาแห้งอย่างเดียว ถ้าตาแห้งให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้วแล้วหลับตาซักครู่จะดีกว่าหยอดตา เพราะการหยอดตาแก้ได้เฉพาะที่ตาอย่างเดียว

 

 

การสังเกตว่าน้ำชนิดใดเหมาะกับร่างกายเราหรือไม่ นอกจากดูว่าดับกระหายได้มั้ยยังสังเกตได้จากการที่ว่า น้ำนั้นถูกซึมซับไว้ใช้ประโยชน์ได้นานมั้ย ถ้าดื่มเข้าไปไม่นานก็ปัสสาวะทิ้ง แสดงว่าน้ำไม่สามารถถูกดูดซึมนำมาใช้ได้ดีนัก คือผ่านเข้าไปแล้วแป๊ปเดียวออกมาเลย ถ้าน้ำนั้นเหมาะสมที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้น้ำจะอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานก่อนที่จะขับออก

 

เครดิตภาพ: http://www.lovefitt.com

 

 

guest

Post : 2014-05-05 15:28:42.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ดอกโสนเป็นยาเย็นและคุณประโยชน์อีกมากมาย

 

ดอกโสน บำรุงกระดูก บำรุงสมอง บำรุงเลือด กินแก้ปวดมวนท้องได้ เป็นยาเย็นแก้พิษร้อน ถอนพิษแมลงกัดต่อย มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย 

 

ดอกโสนอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี และ สารพวกแคโรทีนอยด์ คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน 

 

ดอกโสนสามารถปรุงเป็นยา เพื่อนำมาพอกแผลได้ มีสรรพคุณ นำมาใช้แก้ปวดมวนท้องได้ ต้นโสนนำมาเผาไฟให้เกรียม แล้วเอามาต้มชงเอาน้ำดื่ม เป็นยาขับปัสสาวะได้

 

ปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาวหวาน เช่น ผัดน้ำมันหอย ดอกโสนลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิ แกงส้มดอกโสนใส่ปลาช่อน ไข่เจียวดอกโสน ของหวานก็มี ขนมดอกโสน 

 

สรรพคุณทางโภชนาการพบว่า ดอกโสนให้ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกบำรุงสมอง มีเหล็กบำรุงเลือด ให้วิตามินเอไว้ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บอีก และมีวิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน และวิตามินซี อีกพอสมควร นับว่าเป็นดอกไม้พืชพื้นบ้านที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างมาก

 

ดอกโสน เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด พระนครศรีอยุธยา 

 

**************

เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก www.thaimuslim.com / www.doctor.or.thส่วนหนึ่งของ 

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

เครดิต: ภาพถ่ายโดย HaNatrujee Saksiri มอบให้ ชีวอโรคยา

 

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา

www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

 

 

guest

Post : 2014-04-29 12:59:55.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สมุนไพร ทางเลือกใหม่ของการดูแลสุขภาพ

 

สมุนไพร" ทางเลือกใหม่ของการดูแลสุขภาพ

 

ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ที่ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน นอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหารพื้นบ้าน ดังนี้

 

รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ

 

รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ

 

รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ดอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ

 

รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว

 

รสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น

 

รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม

 

รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอดหวาย ดอกขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม

 

นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

 

สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกะเพรา นอกจากนี้ ยังพบในผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

 

นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

 

วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น

 

ดังนั้น ภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสดๆกับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซีและเกลือแร่อื่นๆ สูง ในบางชนิดอาจเป็นอันตรายถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

 

การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้ว ยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน

 

ดังนั้น เราควรจะส่งเสริมให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กะเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ

 

สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้น ที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการ การดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหารที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

 

จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย

 

อาหารประจำธาตุเจ้าเรือน

 

·         ธาตุดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด หวาน มัน เค็ม ได้แก่ มังคุด ฝรั่งดิบ ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ น้ำนม น้ำอ้อย เกลือ ฯลฯ

·         ธาตุน้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว รสขม ได้แก่ มะกรูด มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะระ สะเดา ฯลฯ

·         ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะเพรา ฯลฯ

·         ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น จืด ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง แตงโม บัวบก ขี้เหล็ก ฯลฯ

 

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 133 มกราคม 2555 โดย สถาบันการแพทย์แผนไทย)

 

แหล่งที่มา: http://www.samunpri.com/?p=5380

 

Credit: http://53011510105g5.blogspot.com/

 

 

guest

Post : 2014-04-25 10:34:30.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ภัยเงียบ

 

  

 

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นความผิดปกติเรื้อรัง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันรุกรานเนื้อเยื่อในร่างกายหลายแห่งโดยเฉพาะส่วนข้อ ทำให้เกิดการอักเสบและทำให้ข้อเสื่อม อาการแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ไม่มีอาการ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายดี ส่วนระยะที่อาการกำเริบ ผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อยล้า เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำๆ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ กล้ามเนื้อและข้อเกร็ง (พบมากในช่วงเช้า) ข้อเปลี่ยนเป็นสีแดง บวม ปวด นิ่ม โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้างของร่างกายสมดุลกัน มักเกิดกับข้อเล็ก หากทิ้งไว้เรื้อรัง จะลุกลามมีผลทำลายอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด หัวใจ เม็ดเลือด ทำให้ต่อมน้ำตาฝ่อ ตาแห้งฝืด ฯลฯ  (Credit: คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล)

 

 

การบำบัดอาการของโรคด้วยเครื่อง SG2000 นั้นจากการเก็บข้อมูลพบว่า การสปาในแต่ละครั้งเราจะใช้อุณหภูมิของน้ำประมาณ 37-40 องศา ระดับฟอง เบา-ปานกลาง ออยที่ใช้ประกอบด้วย Rosemary, Juniper, Hayseed เกลือที่ใช้คือ Melissa แต่มีข้อแม้ว่า *** หากผู้ใช้ เป็นความดันโลหิตสูงห้ามใช้ Rosemary*** หากสนใจสามารถทดลองลงสปาได้ ติดต่อ 082-6992924

 

 

 

guest

Post : 2014-04-24 11:08:12.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร

 

โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร

 

ใครมีพุงบ้าง ยกมือหน่อย คิดว่าหลายๆ ท่านคงมีปัญหาเรื่องนี้ วันนี้มีบทความดีๆ เกี่ยวกับความอ้วนคือ โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ มาให้อ่านกัน

 

โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมาจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น

 

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก

 

หน้าท้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอ ๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.oknation.net/blog/behealthyonline/2013/09/20/entry-3

 

 

 

guest

Post : 2014-04-04 00:05:14.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อน

 

8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อน

 

เข้าสู่ฤดูร้อนอีกแล้ว หน้าร้อนทีไร เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดท้อง ท้องเสียบ้างล่ะ แล้วเราจะมีวิธีดูแลสุขภาพตนเอง ให้แข็งแรงอย่างไรบ้าง? ไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวแล้วนะคะ เพราะว่าวันนี้ เรามี 8 วิธี ดูแลสุขภาพในฤดูร้อนมาฝากคุณ

 

1. ไม่ควรกินน้ำแข็ง หรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อน กระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง

 

2. ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก และควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้

 

3.ไม่ควรนอนให้ลม หรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้

 

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

 

5. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะในช่วงเช้า ยังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้เยอะ ๆ และหลีกเลี่ยง อาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ

 

6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต

 

7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด

 

8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะ 3 อย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

 

แล้วฤดูร้อนจะเป็นฤดูกาลที่มีความสุข.. ถ้าคุณดูแลสุขภาพ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลวิภาวดี

 

Credit: http://brightlives.th.88db.com/health/health_summer.htm

 

 

guest

Post : 2014-04-03 14:49:23.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้า ให้ผลดีอย่างไร

 

ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้า ให้ผลดีอย่างไร

 

ความมหัศจรรย์ของ "น้ำ" เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำอุ่น

 

"น้ำ" เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ และถูกใช้ในกิจการต่างๆ อีกมากมายหลายเรื่อง หลายคนคงทราบแล้วว่า น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำอุ่น การดื่มน้ำอุ่นเป็นเรื่องที่หลายๆคน ไม่ถวิลหาเท่าไร เพราะเวลาดื่มจะมีความรู้สึกเหมือนไม่ได้น้ำ หรือบางครั้ง เวลาเหนื่อยๆ ทำงานหนักๆ ออกกำลังกายมา คนส่วนมากมักจะเลือกดื่มน้ำเย็น เพราะเวลาดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น และวันนี้เรามีสูตรดื่มน้ำอุ่นที่ถูกต้องจะต้องดื่มตามสูตร ตีห้า ดื่มน้ำอุ่น อย่างน้อยลิตรครึ่ง หรือจะดื่มมากกว่านั้นก็เป็นผลดี ในช่วงระยะเริ่มแรกอาจจะเริ่มจากทีละนิดก่อน เช่น ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่งภายใน 1 ชั่วโมง (ให้ดื่มรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจ)

 

6 เหตุผลทำไมต้องดื่มน้ำอุ่นตอนเช้า

 

  1. ส่งผลดีโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ น้ำจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออก เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ
  2. ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดได้ถึง 3,000 มิลลิลิตรต่อนาที ทำให้เอนไซต์ภายในเซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปกป้องเซลล์ ทำให้ผิวพรรณดี มีความสมดุล ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงขึ้น
  3. ส่งผลดีต่อโรคเกาต์ ความดัน คอเลสเตอรอล เพราะเหล่านี้เป็นผลมาจากการขาดน้ำทั้งนั้น
  4. ช่วยเรื่องกระบวนการเผาผลาญ เพราะความร้อนของน้ำจะช่วยให้การหมุนเวียนเลือด และของเหลวในร่างกายดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดของเสียและไขมันส่วนเกินได้
  5. ดีต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้เราได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหาร สารอาหารครบถ้วน
  6. ช่วยเรื่องความเครียด ทำให้จิตแจ่มใส สมาธิดีขึ้น สมองปลอดโปร่ง

 

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : http://goo.gl/oChw2R

 

 

guest

Post : 2014-04-03 13:51:21.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สารอาหารที่เซลล์มะเร็งชอบ

 

สารอาหารที่เซลล์มะเร็งชอบ


เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่ามะเร็งชอบอะไร ใครที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง วันนี้มีสารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการมาบอกกันค่ะ...

 

1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว ควรใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมาก เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือใช้ในปริมาณน้อย

 

2. นมวัว ควรดื่มน้ำนมถั่วเหลืองทดแทน

 

3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าเนื้อหมูและเนื้อสัตว์ ซึ่งมีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4. 80% ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน

5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด

6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี

9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธหรือความเครียด จะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่ที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง

ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ไม่อยากเป็นมะเร็ง หันมาดูแลรักษาสุขภาพกันดีกว่านะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: ศูนย์สุขภาพ บ้านดอยฟ้า

เครื่อง SG2000 ได้ถูกพัฒนาและวิจัยขึ้นมาเพื่อแทนการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ หรือผู้ที่ไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย เป็นการบำบัดดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ และสะดวกสบายที่บ้านของคุณเอง นอกจากจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อได้มีความเคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันก็เติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเช่นเดียวกัน และที่สำคัญรังสีฟาอินฟาเรด ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดเซลล์มะเร็งจะค่อยๆ ทำหน้าที่ไปในขณะที่คุณสปา 

นอกจากการออกกำลังกายแล้ว น้ำดื่มที่สะอาดและมีความละเอียดอ่อนที่ร่างกายสามารถดูดซับได้ดี รวมไปถึงการเติมแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายเข้าสู่ระบบร่างกายของเราในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก เครื่องกรองน้้ำ Grand Water เป็นเครื่องกรองน้ำที่มีตัวกรองทั้งหมด 7 ขั้นตอน น้ำที่ผลิตได้นั้นมีความละเอียดอ่อน เป็นน้ำอัลคาไลน์ เพราะเนื่องจากความเป็นกรดในตัวของคนเราก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมา น้ำที่ได้จากเครื่องกรองน้ำ Grand Water จะเป็นน้ำอัลคาไลน์ ที่มีค่าเป็นกลาง จะค่อยๆ ปรับสมดุลค่าความเป็นกรดด่างภายในร่างกายให้กลับสู่สภาวะสมดุล และจะทำให้คุณและคนในบ้านมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ตามศาสตร์ของการใช้น้ำเพื่อบำบัดดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง

 

 

guest
จุฑารักษ์
- Guest -

Post : 2014-03-09 16:39:45.0     Forum: สอบถาม  >  สอบถาม

สอบถามเรื่องเครื่อง SG 2000 ถ้าต้องการที่จะใช้แต่จะใช้กับอ่างอาบน้ำที่บ้านมีอยู่แล้วได้หรือไม่

 

1